พอเฉียดๆ ใกล้กับ Romantic Road (ไม่ได้วิ่งเส้นนั้นหรอก) ก็เห็นภูเขาที่หิมะปกคลุมยาวไปตลอดทาง ถึงกับนั่งไม่ติดเลยต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปไปตลอดทาง เป็นถนนสายที่สวยมากสมกับที่ถูกตั้งให้เป็น Romantic Road จริงๆ ทำไมถึงชื่อ Romantic Road น่ะเหรอ ก็เพราะถนนสายนี้ผ่านเมืองเก่าแก่กว่า 20 แห่ง แต่ละแห่งล้วนมีความงามเหมือนกับย้อนยุคไปกับสถานที่นั้นๆ เลยทีเดียว ถนนสายนี้เริ่มจากเมือง Wurzburg ยาวลงมาถึงเมืองฟุสเซน (Fussen) ที่เรากำลังจะไปถึงนั่นเอง
ถึงแล้วเมืองฟุสเซน (Fussen) แวะเติมน้ำมันและพักเหนื่อยนิดหน่อยก็ไปหาที่พักคืนนี้ก่อน เมืองฟุสเซน (Fussen) เป็นเมืองเล็กๆ ในรัฐบาวาเรียหรือบาเยิร์นอยู่ทางใต้ของเยอรมันติดกับชายแดนประเทศออสเตรียที่มีภูเขากั้นอยู่ เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างก็ปักหมุดที่จะมาที่นี่ เพราะวิวเทือกเขาแอลป์อันใหญ่โตแล้วยังมีปราสาทแห่งเทพนิยายอยู่ที่นี่ด้วยนะ
ผ่านตัวเมืองมาแป็บนึงก็เริ่มหาที่พักขับรถวนหาหลายที่เต็มบ้าง วิวไม่ดีบ้าง จนมาได้ที่ Helmerhof ห้องพักค่อนข้างดีมีทั้งอาคารหลังเก่าและหลังใหม่เชื่อมต่อกัน พอดีนอนคนเดียวก็เลยได้ห้องเล็กที่อยู่ตรงบันไดกับหลังเค้าเตอร์เชคอินแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรบ้างนอกเลยนะ เก็บเสียงได้ดีพอสมควร ตรงข้ามโรมแรงก็เป็นลานจอดรถกว้างๆ
เข้ามาชมในห้องพัก ไม่ได้เล็กมากสำหรับนอนคนเดียวก็ถือว่าพอดี โรงแรมเค้าจัดหมอนจัดผ้าห่มเป็นรูปหัวใจน่ารักดีค่ะ มีชอคโกแลตวางไว้ที่หมอนอันนึงส่วน wifi ต้องไปขอที่ล็อบบี้ เปิดประตูหลังห้องออกไปนี่เป็นสนามหญ้ากว้างๆ เลยล่ะ
พอเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วหกโมงเย็นฟ้ายังสว่างอยู่ ก็เลยขอตัวออกไปเดินเล่นซะหน่อยเพราะมองเห็นปราสาทนอยชวานสไตน์ไกลๆ นู้น จะลองเดินเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ ซะหน่อย แถมวิวก็ดีมากมองไปทางไหนก็สวย
ถ่ายรูปไปซักพักเริ่มลังเลว่าจะเดินไปทางไหนต่อดี จะเดินไปถึงปราสาทดีมั๊ยหรือจะเดินเข้าเมืองฟุสเซนระยะทางพอกันเลยเดินไปประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะนัดเพื่อนทานข้าวเย็นตอนสองทุ่ม นี่ก็ทุ่มนึงละเอาไงดี
ตัดสินใจเดินไปทางปราสาทละกันเดินไปคนเดียวก็ไม่น่ากลัวนะ จริงๆ ถามว่ากลัวมั๊ยก็แอบหวั่นนิดนึงด้านซ้ายก็บ้านคนฝั่งขวาก็ตีนเขา
ทางนี้เป็นทางไปเมืองฟุสเซนก็ยืนลังเลแป็บนึงแต่ก็ไปอีกทางดีกว่า
เดินไปแป็บนึงมีรถม้าสวนมาเห็นเรายกกล้องขึ้นเค้าก็รู้งานยกมือขึ้นบ๊ายบายให้ทันที เป็นมิตรสุดๆ พอไปถึงโค้งก่อนถึงปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Schloss Hohenschwangau) ก็เดินกลับเพราะมันก็เริ่มเปลี่ยวและเป็นป่าไปเรื่อยๆ แล้วอีกอย่างเดี๋ยวจะเดินกลับไปไม่ทันเวลานัด
มาถึงโรงแรมแล้วแต่ยังไม่ถึงเวลานัดก็เดินเลยโรงแรมไปนิดหน่อยว่าต่อไปจะมีอะไรให้ดูรึเปล่า บ้านเรือนเค้าค่อนข้างจะเหมือนชนบทบ้านเรานะข้างล่างเป็นปูนข้างบนเป็นไม้
ถึงเวลาอาหารเย็นก็ทานที่โรงแรมเหมือนเดิม เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์มีเบียร์สด ไวน์ให้เลือกรับประทาน เมนูเย็นนี้เป็นพาสต้าแซลม่อน แล้วก็รวมมิตรปลาทอดราดซอสอร่อยกินได้ถูกปาก
เพื่อนบอกว่าถ้ามาถึงบาวาเรียแล้วต้องลองกินเบียร์เดี๋ยวจะมาไม่ถึงเพราะมันเป็นต้นตำหรับเลยนะ แต่ถ้าใครไม่กินแอลกอฮอล์เหมือนเราไม่ต้องห่วงมีเบียร์แบบที่ไม่มีแอลกอฮอล์ด้วยทีนี้กินเต็มที่เลย
ส่วนของหวานก็เป็นของขึ้นชื่อเพื่อนว่าอย่างนั้นถ้ามาแล้วต้องกิน เป็นแป้งทอดกรอบนอกนุ่มในจิ้มซอสแอปเปิ้ล อร่อยเลยล่ะกลับไปอ้วนแน่
เช้าวันใหม่ทานอาหารเช้าเรียบร้อยเช้คเอ้าท์ 9 โมงเช้า วันนี้เราจะได้ไปเยือนปราสาทในตำนานกันแล้ว ขับรถมามองไปด้านบนจะเจอปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Schloss Hohenschwangau) ก่อน ข้างล่างเป็นลานจอดรถกว้างๆ ใกล้กันก็เป็นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านของที่ระลึก มาถึงยังไม่ค่อยมีคนไม่ต้องต่อคิวยาวเวลาดีเลย 9 โมงนิดๆ
ไปซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทกันก่อน เราซื้อไว้เลยทั้งสองปราสาท ก่อนซื้อก็ดูรอบก่อนนะว่าเราจะสะดวกรอบไหนมีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมันทั้งแบบเป็นไกด์และ Audio Guide แต่ละรอบเค้าจะมีไกด์พาเดินชมแต่ละห้องอธิบายเป็นภาษาที่เราเลือกนั่นเองแล้วก็กะเวลาให้ทันที่ไปอีกปราสาทนึงด้วยนะเวลาที่ใช้เดินขึ้นปราสาทและเวลาที่อยู่ในปราสาท
ได้ตั๋วมาแล้วเร็วสุดรอบ 10 โมงเป็นภาษาเยอรมัน เพราะเพื่อนที่พาไปฟังเยอรมันรู้เรื่องแล้วเค้าก็มาเล่าต่อเราอีกที ทางขึ้นปราสาทมีรถม้าขึ้นไปถึงและเดินขึ้นไป
เดินขึ้นข้างบนกันเราไปปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Schloss Hohenschwangau) กันก่อนที่มองเห็นสีเหลืองๆ ด้านบนนั่นแหละ ทางเดินขึ้นผ่านทะเลสาป Alpsee น้ำใสเหมือนตู้กระจกอย่างที่เค้าพูดกัน
ขึ้นมาแป็บนึงพอให้เหนื่อยก็มาถึงแล้ว ปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Schloss Hohenschwangau)
ปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Schloss Hohenschwangau) เป็นปราสาทของพระเจ้าแม็กซิมิลเลียนและพระชายาซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้าลุดวิกผู้สร้างปราสาทนอยชวานสไตน์หลังจากพระเจ้าแม็กซิมิลเลียนสิ้นพระชนม์พระเจ้าลุดวิกก็ขึ้นครองต่อแต่ไม่ได้แต่งานพระมารดาจึงได้อาศัยที่นี่ต่อพอพระเจ้าลุดวิกสิ้นพระชนม์พระองค์ก็อาศัยอยู่ลำพังจนกระทั่งสิ้นพระชนม์และปิตุลาของพระเจ้าลุดวิกก็มาอาศัยต่อจนสิ้นพระชนม์และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในเวลาต่อมา
ทางเข้าไปในตัวปราสาทต้องรอให้ถึงรอบก่อนถึงจะเข้าไปได้ มีจอแสดงรอบเวลาเมื่อถึงเวลาก็มีเสียงตามสายประกาศให้เรารู้อีกที
กว่าจะถึงเวลาเข้าไปก็รอซักพักเลยล่ะระหว่างนี้ก็เดินเล่นรอบๆ ปราสาทไปก่อน ข้างบนมีร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อของฝากเหมือนกันจะเป็นร้านของปราสาทเองสินค้าไม่เเหมือนกับร้านที่อยู่ข้างล่าง จากปราสาทนี้ก็มองเห็นปราสาทนอยฯอยู่ไกลๆ เหมือนกัน หันมาอีกฝั่งก็เป็นวิวเทือกเขาแอลป์เดินมาฝั่งทางขึ้นก็เป็นทุ่งหญ้ากว้างที่เราพักคืนที่ผ่านมา ระหว่างรอก็เจอเด็กหนุ่มไทยกลุ่มใหญ่รอเข้าปราสาทเหมือนกันแต่น้องเค้ารอเข้ารอบภาษาอังกฤษ
พอถึงเวลาเข้าไปด้านในแค่เอาบัตรฝั่งที่มีบาร์โค้ดแตะลงไปก็เข้าได้แล้ว ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ตอนนี้ก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามีห้องอะไรบ้างพอไปถึงห้องกลางก็มีไกด์ที่พูดภาษาเยอรมันมารอรับและอธิบายว่าห้องนี้คือห้องอะไรตกแต่งด้วยอะไรส่วนมากจะเป็นหินอ่อน จะมีหงส์ขนาดเท่าตัวจริงวางประดับในห้องด้วยเพราะทางโปรดหงส์มาก
การตกแต่งภายในพระเจ้าลุดวิกทรงได้แรงบันดาลใจมาจากฝรั่งเศสซะส่วนใหญ่ ทรงปลื้มพระเจ้าหลุยส์เอามากๆ เลย ขนาดที่ห้องนึงมีรูปของพระเจ้าหลุยส์ พระบรมวงศานุวงศ์ มหาเล็กต่างๆ เต็มห้องไปหมด มาถึงทางออกก็มีคาเฟ่ให้พักและร้านขายของที่ระลึกปิดท้ายก่อนจะออกไปจากปราสาท
ออกจากปราสาทพ่อแล้วไปต่อปราสาทลูกซื้อตั๋วไว้รอบเที่ยงตรง ไม่รู้จะใช้เวลาเดินขึ้นแค่ไหนก็รีบไปเลยทีนี้
ระหว่างทางขึ้นไปมีป้ายบอกทางไปทางอื่นด้วยบอกระยะทางกับเวลา แต่จริงๆ เวลาไม่ได้ตามนั้นหรอก โหเดินขึ้นเขาแป็บๆ ก็พักเหนื่อยแล้วไม่ใช่ทางดีๆ ด้วยนะ เราเลยเลือกเดินทางตรงดีกว่าทางลาดยางเดินสบายเดี๋ยวไม่ทันรอบ มีคนนั่งรถม้าสวนลงมาด้วยหน้าหมวยตี๋เชียวล่ะ
เดินมาจนเหนื่อย เฮ้อ เหนื่อยจริงๆ นะเริ่มมองเห็นความจริงละกลั้นใจเดินอีกนิดนึง
มาถึงจุดชมวิวและมุมมหาชนแล้ว ตรงนี้มีนักท่องเที่ยวมารอถ่ายรูปแล้วส่วนมากก็คนไทยด้วยสิหันไปทางไหนเจอแต่คนไทย ตอนที่ยืนถ่ายรูปอยู่ก็เจอครอบครัวนึงกำลังใช้ไม้เซลฟี่ถ่ายภาพครอบครัวกันอยู่ดูทุลักทุเลถ่ายไม่ครบคนซักทีก็เลยอาสาถ่ายรูปให้เค้าไปยังไงก็พูดภาษาเดียวกัน
ใกล้เวลาจะเข้าปราสาทแล้วก็พาไปกันเดินไปรอที่หน้าประตูสีแดงๆ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งอลังการ ใหญ่โตมโหฬารอะไรอย่างนี้
ระหว่างรอเข้าปราสาทก็ถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ไปเรื่อยได้ยินเสียงน้ำตกดังๆ มาจากข้างล่างก็เลยมองตามไปทางต้นทางของน้้ำเห็นสะพานอะไรไกลๆ อ๋อ มันคือสะพานมาเรียนบรู๊ค (Marienbrucke) ที่เค้าไปถ่ายรูปปราสาทสวยๆ จากตรงนั้่นเอง สูงมาก ๆ มองขึ้นไปบนยอดเขานู้นไงต้นทางของน้ำตกมาจากตรงนู้นนนน น้ำใสไหลเย็นมากเป็นเพราะหิมะละลายลงมา
ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Schloss Neuschwanstein) นี้สร้างโดยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ออกแบบโดยคริสเตียน แยงค์ ไม่ใช่สถาปนิกแต่เป็นนักออกแบบทางการละครมากกว่า ตัวปราสาทเลยออกมาแนวจินตนาการหน่อยๆ เป็นการผสมผสานของศิลปะหลายแบบและเป็นปราสาทที่นำสมัยในช่วงนั้นเพราะมีทั้งระบบไฟฟ้าน้ำประปาโทรศัพท์ในปราสาทด้วย
ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Schloss Neuschwanstein) สร้างได้เพียง 1 ใน 3 ของแผนที่วางไว้เท่านั้น พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ก็มาจมน้ำสิ้นพระชนม์อย่างปริศนา พระองค์ได้มีเวลาที่อยู่ในปราสาทนี้เพียง 170 วัน น่าเสียดายจริงๆ
ถึงเวลาเข้าไปข้างในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ด้านในปราสาทก็ออกแบบตกแต่งอย่างสวยงามหรูหรามาก แต่ก็ยังมีกลิ่นของศิลปะที่พระราชวังแวร์ซายน์อยู่ พระองค์ทรงปลื้มพระเจ้าหลุยส์เอามากจริงๆ
มาใกล้จะถึงท้ายปราสาทแล้วมีจุดชมวิวที่มองเห็นวิวเทือกเขาแอลป์ ทะเลสาป Alpsee ปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Schloss Hohenschwangau) สวยมากๆ ถ้าเป็นหน้าร้อนจะสวยกว่านี้มากเพราะภูเขาจะกลายเป็นสีเขียว หรือช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็จะเป็นสีส้มเต็มไปหมดเหมือนกัน
มุมนี้เห็นสะพานมาเรียนบรู๊ค (Marienbrucke) และทางเดินไปสะพานไกลเอาเรื่องอยู่นะ
ห้องสุดท้ายมีประสาทจำลองและขายของที่ระลึก คาเฟ่ ห้องน้ำให้เข้าตามอัธยาศัยเดี๋ยวเราเดินไปสะพานมาเรียนบรู๊ค (Marienbrucke) ต่อเลยดีกว่า
ระหว่างทางเดินได้วิวคล้ายตอนที่อยู่บนปราสาท
มาถึงสะพานมาเรียนบรู๊ค (Marienbrucke) รู้สึกขาสั่น สั่นเพราะเดินมาไกลแถมขึ้นเขามาเรื่อยๆ แล้วสั่นมากตอนอยู่กลางสะพานมันสูงมาก
นี่ไงได้มุมมหาชนแล้วสร้างแลนด์มาร์ค
ตอนกำลังจะเดินไปกลางสะพานก็ไม่มีคนหรอกนะ เพราะถึงกลางสะพานเท่านั้นแหละคนมาจากไหนกันสะพานก็แกว่งๆ มันก็แอบผุพังอยู่นะน่ากลัวจริงๆ มองดูข้างล่างถ้าตกลงไปนี่คงไหลไปตามน้ำหรือค้างอยู่ซอกหินไหนซักที่ รูปถ่ายรูปแล้วรีบออกจากตรงนี้ดีกว่า
ตอนเดินกลับเห็นป้ายบอกว่าไปทางนี้ใกล้กว่านะใช้เวลาน้อยกว่าด้วยไปทางนี้แล้วกัน ทางเดินก็ไม่ได้สบายเหมือนตอนมาแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักเร็วกว่าทางหลักจริงๆ ด้วย สวยมากๆ ปราสาทในเทพนิยาย ดีใจที่ได้มา