ออกจาก Eibsee Lake ด้วยสายตาละห้อยอยากจะอยู่ต่อ ก็ไปกันต่อที่ปราสาทลินเดอร์ฮอฟ (Linderhof) ห่างกันไม่มาก 30 กว่ากิโลเมตรเท่านั้นเอง
ปราสาทลินเดอร์ฮอฟ (Linderhof) เป็นปราสาทที่ 2 ที่พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ทรงสร้างขึ้นและเป็นปราสาท 1 ใน 3 ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ปราสาทลินเดอร์ฮอฟ (Linderhof) เป็นปราสาทที่ใช้ในยามล่าสัตว์ มีบางส่วนที่สร้างเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส
มาถึงบริเวณปราสาทแล้วลานจอดรถกว้างใหญ่มีลำธารใหญ่ผ่านด้วย เดินไปอีกนิดเป็นโรงแรมและมีร้านอาหารร้านของที่ระลึกก่อนจะเดินเข้าไปชมปราสาทตามป้ายบอกทาง หน้าโรงแรมเจอคณะคนไทยมาเป็นรถทัวร์เลย
ระหว่างทางเดินไปปราสาทใบไม้ร่วงหมดเลยแต่ก็ยังสวยอยู่นะ
เดินมาถึงแล้วซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทก่อนเลย ซื้อแบบ 3 คน อยู่ที่ € 25.50 ได้รอบเวลา 11:10 น. ต้องรอเป็นรอบเหมือนที่ปราสาทนอยฯ
ระหว่างรอเวลาเข้าไปก็เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ ตอนที่ไปกำลังจะเข้าหน้าร้อนแล้วก็มีเจ้าหน้าที่มาจัดสวน เอาลังไม้ที่คลุมรูปปั้นต่างๆ ในสวนออก ที่ต้องคลุมไว้เพราะในฤดูหนาวหิมะมันตกรูปปั้นมันจะก็จะเสียหายได้
ถึงเวลาเข้าไปในปราสาทแล้วได้รอบเป็นภาษาเยอรมัน แต่ที่นี่ดีมากเลยเค้าถามว่าเรามาจากประเทศอะไรแล้วก็ไปหยิบแฟ้มที่เป็นภาษาไทยมาให้ โอ้ววแจ่มมาก เข้าไปด้านในก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปเหมือนเคย แต่ภายในก็มีการจำลองหลายส่วนมาจากพระราชวังแวร์ซายส์ที่พระเจ้าลุดวิกทรงปลื้มนักปลื้มหนา มีทั้งรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระสนมต่างๆ ขุนนาง ประดับอยู่ในห้อง พระองค์ทรงโปรดสีน้ำเงินในห้องบรรทมก็จะเน้นสีน้ำเงินเป็นหลัก ส่วนการตกแต่งก็เน้นไปทางสีน้ำเงินเหมือนกันเช่นโต๊ะ เตาผิงก็เป็นหินสีน้ำเงินหรือลาพิศ โคมไฟสั่งทำมาจากอิตาลีและห้องเสวยก็ไฮเทคมาก มีโต๊ะที่จัดเตรียมอาหารจากชั้นล่างแล้วโผล่ขึ้นมาชั้นบนได้ด้วยเจ๋งมาก
เดินครบทุกห้องแล้วก็มาโผล่ทางด้านหลังของปราสาท เห็นลังไม้ยังคลุมรูปปั้นอยู่เลย
เดินขึ้นไปบนศาลาเขียวๆ ด้านบน ขึ้นเขาจ้าหอบนิดนึง
จุดชมวิวบนศาลาสีเขียว มองลงไปเห็นปราสาทลินเดอร์ฮอฟ (Linderhof) ลานน้ำพุและเทือกเขาแอลป์สวยมาก
เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอถ้ำจำลอง Venus Grotto ที่พระเจ้าลุดวิกสร้างไว้เพื่อไว้ชมการเล่นละครจะทรงประทับบนเรือกลางน้ำ ในถ้ำมีไฟที่สามารถเปลี่ยนสีได้ถือว่าเริ่ดอยู่นะในสมัยนั้น ทรงเป็นผู้ด้านเทคโนโลยีจริงๆ พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ทรงโปรดศิลปินโอเปร่าที่ชื่อ ริชาร์ด วากเนอร์ ทรงสร้างที่นี่เพื่อให้ริชาร์ด วากเนอร์ได้มาอยู่ด้วยกันแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้มาอย่างที่พระองค์ตั้งใจไว้
ถัดมาจะเจอ Moorish Kiosk ออกแบบโดยสถาปนิกชาว Berlin ข้างในมีพระที่นั่งประดับด้วยรูปปั้นนกยูง
ระหว่างทางเดินกลับก็ผ่านทุ่งหญ้า เนินเขาและลำธารเยอะแยะ มีอะไรให้แวะให้เข้าไปมากมายเดินทางวันก็ไม่หมด
แต่ว่าเราต้องไปต่อแล้ว ข้างลานจอดรถมีลำธารที่น้ำแข็งละลายลงมาจากภูเขาใสดีทีเดียว
ออกจาก Linderhof เราก็ไปต่อที่ Berchtesgaden ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร
ไปถึงก็ 5 โมงเย็นแล้วเงียบเหงาเพราะคนก็ทยอยกลับกันแล้ว
เดินเข้าไปด้านในเพื่อที่จะไปทะเลสาบ Konigssee (Königssee Lake) เจอร้านขายหินนำโชคที่บ้านเราฮิตใส่กัน ตอนขามาจากเมืองไทยเอามาฝากเพื่อนเยอะเลยมาที่นี่มาเจอแหล่งมันซะงั้นเยอะมากจนเลือกไม่ถูก
เดินมาจนถึงทะเลสาบแล้วคนเริ่มบางตา เรือเที่ยวสุดท้ายกำลังเทียบท่าหลังจากนี้ก็หาที่นอนสำหรับคืนนี้กันเถอะพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ฝนก็ทำท่าจะตกด้วยเหมือนกัน
ขับรถหาที่พักอยู่นานก็มาเจอที่ Alpenhotel Fischer อยู่ห่างจากทะเลสาบประมาณ 3 กิโลเมตรได้ ห้องพักใหญ่มากโดยเฉพาะส่วนนั่งเล่นนอนได้อีกคนเลยล่ะ จริงๆ ก็นอนคนเดียวอ่ะนะห้องใหญ่มันก็รู้สึกโหวงๆ หน่อย
ห้องน้ำก็พอดีๆ เป็น shower มีอุปกรณ์ครบที่สำคัญมีเก้าอี้นั่งอาบน้ำด้วยนะ เผิื่อคนแก่ คนที่ยืนไม่ค่อยไหวจะได้อาบน้ำได้สะดวกไม่ต้องกลัวลื่น
ตรงระเบียงห้องจริงๆ ก็สวยนะ แต่พอดีฝนตกฟ้าเลยมืดไปหน่อย แต่ก็อยู่ข้างนอกนานไม่ได้เพราะมันหนาวจริงๆ ด้านข้างห้องนี่ภูเขาหิมะเลยล่ะ
นอกจากมีโซฟานั่งดูทีวีแล้วก็มีโต๊ะทำงานให้ด้วย wifi ขอรหัสที่ Reception นะ ด้านล่างมีซาวน่าและสระว่ายน้ำเป็นแบบน้ำเกลือ เดินมาทั้งวันเลยขอเอาเท้าไปแช่น้ำร้อนซะหน่อยดีกว่า
ถึงเวลาอาหารเย็นขับรถเข้าไปที่ตัวเมือง Berchtesgaden ไปทานที่ร้านดังและเก่าแก่ของที่นี่ชื่อ Gasthof zum neuhaus ตัวร้านออกแบบตกแต่งแบบบาวาเรียดั้งเดิม มีทั้งส่วนของอาคาร และสวนเบียร์ พนักงานก็แต่งตัวแบบพื้นเมืองด้วย
เมนูคืนนี้มีไก่อบมาซะครึ่งตัวเลย
ขาหมูเยอรมันจานใหญ่ที่มาพร้อมมันฝรั่งบดผสมแป้ง น้ำซอสออกจากเค็มๆ หน่อย หรือว่ามันเป็นรสชาติิแบบนี้รึเปล่า กินร้านไหนก็เค็มเหมือนกันหมด
หัวไชเท้าสไลด์ยาวมาเป็นทางเลย
เป็ดย่างราดซอสส้มมากับมันบด
และเบียร์ท้องถิ่นต้นตำหรับบาวาเรีย