หลังจากตามรอยสร้างแลนด์มาร์กปราสาทและพระราชวังของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 จนครบแล้วก็มาจบที่มิวนิค (Munich) หรือเรียกภาษาเยอรมันเรียกมึนเชิน (München) เป็นเมืองหลวงของบาวาเรีย (Bavaria) หรือในภาษาเยอรมันจะเรียกอีกชื่อว่าบาเยิร์น (Bayern) ที่เราเคยคุ้นๆ หูว่า “บาเยิร์นมิวนิค” อันนั้นมันคือชื่อสโมสรฟุตบอลของเยอรมัน บาเยิร์นคือชื่อรัฐ ภาค แคว้นอะไรประมาณนั้น ส่วนมิวนิคนั้นคือชื่อเมืองหลวงของรัฐนี้นั่นเอง มิวนิคเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศรองจากเบอร์ลินและฮัมบูร์ก
พอเข้าตัวเมืองมิวนิคก็ต้องหาที่พักสำหรับคืนนี้ก่อนแล้วก็ไปจบที่ Am Nockherberg Hotel เป็นตึกแถวสูงประมาณ 3 – 4 ชั้น อารมณ์เหมือน Service Apartment ด้านหน้าจอดรถได้แค่ไม่กี่คันเพราะถนนค่อนข้างแคบ มีที่จอดรถอยู่ชั้นใต้ดินพื้นที่มีจำกัดเค้าก็จะใช้วิธีจอดซ้อนคันโดยการยกขึ้นข้างบนแทน ทำเลค่อนข้างดีอยู่ใกล้กับรถราง รถไฟใต้ดิน ร้านอาหารและอยู่กลางเมือง
พนักงานตอนเช็คอินค่อนข้างบริการดีเป็นมิตรและคอยช่วยยกกระเป๋าและโบกรถ สงสัยตอนนั้นจะมีคนเดียวทำทุกหน้าที่เลย แต่พอรอบค่ำจะเป็นอีกคนไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่
มาถึงในห้องแล้วห้องพักเป็นแบบห้องชุด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวและส่วนนั่งเล่น ห้องนอนใหญ่เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้แต่เป็นที่มาตรฐานทั่วไป ทีวีจอเล็กกว่าห้องที่เราพัก
มาที่ห้องที่เราพักจะเป็นห้องนอนเล็กเตียงนอนเป็นโซฟาเบดแต่ก็นอนสบายดี เหนื่อยมากหลับเป็นตาย ทีวีใหญ่กว่าห้องนอนใหญ่ มีโซฟานั่งเล่นสบายเลยล่ะ wifi ที่นี่ไม่ฟรีต้องซื้อแต่ก็สามารถใช้สัญญาณ wifi ฟรีในแถวนั้นได้
ห้องน้ำเป็นแบบอ่างอาบน้ำและไม่มีม่านด้วย ข้อเสียของห้องน้ำนี้คือประตูห้องน้ำล็อกไม่ได้ ต้องทำการตกลงกันก่อนว่าถ้าใครเข้าห้องน้ำให้เปิดห้องนอนไว้แล้วถ้าไม่มีคนเข้าห้องน้ำให้เปิดประตูห้องน้ำไว้ เดี๋ยวจะมาจ๊ะเอ๋กันตอนเข้าห้องน้ำ ฮ่าๆ
ส่วนของห้องครัวใหญ่มากมีอุปกรณ์ทำครัวครบแต่ไม่ได้ใช้งานเลย (เสียดาย) ถ้ามากันเยอะๆ ทำกับข้าวกินกันนี่ฟินเลย
ส่วนของนั่งเล่นต่อจากส่วนของครัวตรงนี้เย็นสบายเลยนะ มีหน้าต่างเปิดรับลม
หลังจากเก็บกระเป๋าสำรวจรอบห้องแล้วยังมีเวลาเหลือเยอะ 5 โมงเย็นฟ้ายังสว่างเป้าหมายเราคือไปจัตุรัสมาเรียน (Marienplatz) และไปตามรอยแอบรักออนไลน์ไปสวนอิงลิชการ์เดน (Englischer Garten) ที่ปานนท์กับพริบพราวเค้าไปตามหากันไม่เจอ
เดินออกจากโรงมาจากโรงแรมมานิดหน่อยก็เจอรถรางผ่านไปผ่านมาแต่ก็ไม่กล้าขึ้นเพราะไม่รู้เค้าจะไปไหน เราจะขึ้นกันถูกทางรึเปล่าก็เลยต้องเดินไปเรื่อยๆ เดินมาอีกแป็บก็ผ่านแม่น้ำอิซาร์ (Isar) แม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับที่ 4 ของเยอรมัน ริมตลิ่งมีผู้คนมานั่งพักผ่อนกันส่วนมากเป็นวัยรุ่นมารวมตัวกันกิจกรรมต่างๆ
เดินมาเรื่อยจนผ่านมา Gärtnerplatz วงเวียนสวยๆ มีคนมานั่งเล่นพักผ่อนทำกิจกรรมอีกเหมือนกันเป็นช่วงดอกไม้กำลังบานเลย
เดินมาถึงแล้วจตุรัสมาเรียนพลาตซ์ (Marienplatz) เดินจากที่พักมาไม่ไกลมากแค่ 2.4 กิโลเมตรเท่านั้น มาถึงก็สร้างแลนด์มาร์กแต่เสียดายที่ตรงกลางเค้าล้อมรั้วปรับปรุงอะไรซักอย่าง เลยทำให้เห็นตัวอาคารไม่ทั้งหมด
บนหอคอยถ้าขึ้นไปถ่ายรูปจะเห็นมุมกว้างของตัวเมืองมิวนิค
เสาพระแม่มารีสีทองและนาฬิกากุ๊กกู๋อยู่ด้านบนอาคาร
รอบๆ จตุรัสนี้เรียกได้ว่าเป็นใจกลางเมืองเลยก็ว่าได้เป็นย่านช้อปปิ้งใกล้ๆ เลยมีร้านขายของแบรนด์เนมชื่อดังหลายๆ แบรนด์รวมทั้งของท้องถิ่นด้วย มีรถรางผ่านกลางจตุรัส
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะผ่านสถานที่สำคัญๆ หลายแห่ง
เดินมาจนสุดถนนมาเจอ Feldherrnhalle ปัจจุบันใช้เป็นที่จัดแสดงงานต่างๆ อย่างคอนเสิร์ตหรือละคร Feldherrnhalle สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ทัพบาวาเรียในการทำสงความฝรั่งเศส-ปรัสเซีย
ฝั่งขวาจะเป็นโบสถ์ Theatinerkirche ไม่ได้ถ่ายรูปมา
เดินมาอีกนิดนึงก็ถึงแล้ว Emglischer Garten ที่พริบพราวกับปานนท์เค้าตามหากันไม่เจอ
นั่นไงศาลาตรงนั้นชื่อ Diana Temple ที่นางเอกเดินถือดอกกุหลาบมารออยู่ตั้งนาน แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มีแค่ที่เดียวหรอกนะ ที่มองเห็นในบริเวณนี้ก็หลายหลังอยู่
เข้ามาด้านในมีผู้ชายกับเล่นเปียโนให้ฟัง
ใกล้ค่ำแล้วต้องเดินกลับที่พักกันแล้ว ก็เดินมาอีกทางของจตุรัสฝั่งนี้จะมีร้านแเบรนด์เนมที่เรารู้จักมากกว่าฝั่งขาไป
เริ่มมืดแล้วๆ กลัวกลับไม่ทันเวลานัดกินข้าวก็เลยต้องใช้บริการแท็กซี่ไป ค่ารถจำไม่ได้ว่ากี่ยูโรแต่ไม่แพง
มื้อเย็นวันนี้ มาเมืองหลวงของเบียร์ก็คงไม่พ้นโรงเบียร์แน่นอน ซึ่งก็อยู่ใกล้กับที่พักของเราเลยคือโรงเบียร์ Paulaner ถือว่าเป็นเบียร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเลย
โรงเบียร์มีส่วนที่อยู่ในอาคารและลานเบียร์ซึ่งลานด้านนอกคนเยอะมาก มากจนด้านในมีคนมาบริการน้อยมาก อาหารต่างๆ ก็รอนานเหมือนกัน
ขึ้นไปด้านบนก็มีห้อง VIP แล้วก็มองเห็นท่อส่งเบียร์ต่างๆ ด้วย จริงๆ ที่โรงเบียร์บ้านเราก็เห็นแบบนี้เหมือนกัน
อาหารมาแล้วเป็นที่รวมเอาไส้กรอก ขาหมูและปลาแซลม่อนรวมมาด้วยกัน อร่อยมากไม่เลี่ยนเลยแต่เหมือนเดิมซอสแอบเค็มไปหน่อย
เช้าวันต่อมาหลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจจะไป Outlet ซักที่หนึ่งเพื่อไปช้อปของที่อยากได้ ลอง search หาข้อมูลในเน็ตก็เจออยู่ 2 ที่ ที่แรก LODENFREY Outlet จากที่พักไปง่ายมากและไม่ไกลเท่าไหร่ แต่อีกที่ต้องออกจากมิวนิคไปร่วม 100 กิโลเมตร เดินทางโดยรถไฟลำบากแน่ก็เลยตัดสินใจไปที่ LODENFREY Outlet เลยละกัน
พอตกลงกันได้แล้วว่าเราจะไปที่นี่กันก็เปิด google map เดินตามไปเลย จากที่พักเดินไปรถไฟใต้ดินหรือ U-Bahn ห่างไปแค่ 300 เมตร สถานีที่เราขึ้นคือสถานี Kolumbusplatz ปลายทางเราจะไปที่ Olympia-Einkaufszentrum หลังจากยืนดูแผนที่กันซักพักว่าสายไหนใช้เวลาเร็วที่สุดใกล้ที่สุดก็มาสรุปที่สายสีเขียว U1 แล้วเราก็ทำการซื้อตั๋วผ่านตู้ขายตั๋วตั้งแต่เดินทางประเทศในยุโรปยังไม่เจอมนุษย์มาให้บริการเกี่ยวกับด้านขนส่งการเดินทางเลย
แล้วเราก็ไปยืนงงๆ ว่าจะเลือกอะไรดีตัวเลือกมันเยอะแล้วก็มีคนใจดีแนะนำว่าเลือกแบบนี้สิคุ้มนะไม่ต้องซื้อหลายรอบใช้ได้หลายคน เราก็เลยซื้อเป็นตั๋วกรุ๊ปมาใช้ได้ 5 คนภายใน 6 ชั่วโมงทุกเส้นทางของ U-Bahn สำหรับเรามันก็ไม่ได้คุ้มหรอกมากันแค่ 2 คน แต่มันก็ช่วยได้เวลาอยากจะขึ้นอีกจะได้ไม่ต้องซื้อบ่อยๆ
พอได้ตั๋วมาแล้วก็ลงไปขึ้นรถไฟกันเลย การจะลงมาสถานีรถไฟถ้าเป็นที่อื่นๆ หรือบ้านเราก็จะมีที่กั้นไว้ให้แตะหรือสอดตั๋วกันซะก่อนถึงจะเข้าไปได้ แต่ที่นี่ไม่ต้องเลยได้เข้าไปตัวปลิว เพราะที่นี่เค้าเน้นความซื่อสัตย์ไม่ต้องมีคนคอยตรวจตราว่าจะมีใครแอบเข้ามามั๊ยซื้อตั๋วถูกประเภทรึเปล่า
ชานชลานี้มีรถไฟถึง 3 สายมาใช้ช่องทางเดียวกันระหว่างรอรถไฟสายของเรามาก็สังเกตเห็นว่าปกติรถไฟจอดปุ๊บประตูจะเปิดปั๊บใช่มั๊ย…แต่เดี๋ยวก่อนไม่ใช่อย่างนั้นประตูไม่ได้เปิดเองนะจ๊ะต้องเปิดเองด้วยการแหกค่ะแหกตัวลูกบิดตรงประตูเอานะตอนปิดก็ปิดให้ตามปกติ ตอนขึ้นนี่จำแม่นเลยเดินไปแหกเลยจ้า แต่ตอนลงเพลินยืนรอหน้าประตูตั้งนานไม่เปิดซักทีแล้วก็เอ้อต้องเปิดเองนี่หว่าเกือบจะไม่ได้ลงซะละ
ถึงสถานี Olympia-Einkaufszentrum ผ่านห้าง Galeria Kaufhof แวะซื้อของนิดหน่อยแล้วก็เปิด google map เดินกันไปต่ออีก ประมาณ 600 เมตร พอไปถึงค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย ส่วนมากมีแค่ของ Local เป็นเสื้อผ้าซะส่วนใหญ่ราคาก็แพงด้วย แล้วก็เดินคอตกกลับไป
ไปตายรังที่ Marienplatz เหมือนเดิม ตอนกลับเรากลับรถสายสีส้มหรือ U3 เพราะไม่ต้องเปลี่ยนหลายต่อ
ห้าง Ludwig Beck และด้านหลังที่มีหอนาฬิกาเป็นพิพิธภัณฑ์ของเล่น (Spielzeugmuseum)
เดินช้อปกันที่นี่แล้วก็เดินเที่ยวสถานที่สำคัญแถวนี้ด้วยนั่นก็ถือโบสถ์ Frauenkirche เป็นโบสถ์ที่สร้างด้วยอิฐสีแดงแบบกอธิคเรียบๆ ไม่หรูหรา
ในตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 โบสถ์ Frauenkirche ถูกทำลายเสียหายไปมากและพึ่งถูกบูรณะขึ้นมาเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้เอง
ทานข้าวเที่ยงเรียบร้อยเดินทางนานแล้วเริ่มเหนื่อยและไม่รู้จะไปไหนดี เพื่อนก็เลยเสนอว่าไปที่ๆ ใกล้กับที่พักดีกว่านั่นก็คือพิพิธภัณฑ์เยอรมัน (Deutsches Museum) แล้วก็พากันเดินย้อนกลับมา
พิพิธภัณฑ์เยอรมัน (Deutsches Museum) น่าจะถือเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้นะ ตั้งอยู่ตรงเกาะกลางของแม่น้ำอิซาร์ (Isar) ค่าตั๋วเข้าชมคนละ € 11
เข้ามาด้านในต้องทึ่งกับความอลังการของที่นี่ นี่มันเป็นแหล่งรวมนวัตกรรมของโลกเลยนะเนี่ย ถ้าเป็นสมัยนักเรียนมาเข้าดูพิพิธภัณฑ์แบบนี้พูดเลยว่าฟิน
ที่นี่แบ่งเป็นหลายหมวดหมู่มากและก็มีอยู่หลายชั้นไม่จำเป็นต้องเดินเรียงลำดับ อยากจะชมอันไหนก่อนก็เชิญได้เลยมีป้ายบอกไว้
ด่านแรกเป็น Transport เรือ รถ เครื่องบิน ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่มารวมกันที่นี่ได้หมด แต่ก็ไม่ใหญ่เท่าเครื่องบินโดยสารกับเรือสำราญนะ อันนั้นใหญ่ไปมีแบบจำลองให้ดู
ชั้นนี้เกี่ยวกับเครื่องดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณและจากหลากหลายประเทศ
ตรงนี้เกี่ยวแรงเหวี่ยงอะไรซักอย่าง ออกแนววิทยาศาสตร์หน่อยเรียกไม่ถูก จะเห็นลูกตุ้มห้อยต่องแต่งอยู่ด้านล่าง คนที่อยู่ด้านล่างลองเหวี่ยงไปมาได้
ห้องนี้เกี่ยวกับการพิมพ์ การถ่ายภาพ
งานทองานจักรสาน
และที่ภูมิใจมากไหลายบ้านเชียงของเราก็มาอยู่ที่นี่ด้วยนะ
ห้องนี้เกี่ยวกับไฟฟ้า
มีการสาธิตเกี่ยวกับไฟฟ้าเรียกไม่ถูกอีกแล้ว มีคนเข้าไปอยู่ในกรงกลมๆ นั้นแล้วถูกยกขึ้นไปแล้วก็ปล่อยไฟฟ้ามาให้สป๊ากกัน เกิดไฟฟ้าวาบๆ เหมือนฟ้าแล่บยังไงยังงั้นเลย
จริงๆ ในพิพิธภัณฑ์นี้มีมากมายหลายส่วนมากเก็บภาพมาไม่หมดและไม่รู้ว่าเดินทั่วรึยังเพราะมันใหญ่โตมากเราต้องออกมาก่อนเพราะใกล้เวลาปิดทำการแล้ว
จบความเพลินของมิวนิคแต่เพียงเท่านี้